ความจำเพื่อใช้ปฎิบัติงาน หรือ Working Memory คือ ทักษะความจำที่เก็บข้อมูลที่ได้เห็นหรือได้ยินในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อนำมาแปลผลและปฏิบัติการต่อ ใช้ประมวลผลกิจกรรมที่ต้องใช้ทักษะซับซ้อน เช่น ความเข้าใจทางภาษา, การคิด (Thinking), การอ่าน (Reading), การเรียน (Learning), หรือการใช้เหตุผล โดย Working Memory จัดเป็นความจำระยะสั้นประเภทหนึ่ง เป็นความจำที่เกิดจากการทำงานของสมองส่วนหน้า (Frontal Cortex) เป็นการจดจำข้อมูลที่พบเห็นในระยะเวลาสั้น ๆ แล้วเรียกออกมาใช้ หรือปรับใช้ให้เข้ากับกิจกรรม หรือสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งกิจกรรม หรือสถานการณ์เหล่านี้จะเป็นกิจกรรมที่มีความซับซ้อน เช่น การคิดวิเคราะห์ หรือการเรียนเชิงวิชาการ เป็นต้น ![]() ![]() ![]() จากบทความทางวิชาการเรื่องความสัมพันธ์ของ Working Memory และความสามารถทางวิชาการของเด็ก (Investigating the predictive roles of working memory and IQ in academic attainment) เขียนโดย Alloway, T.P. & Alloway, R.G. สรุปใจความสำคัญได้ว่า เด็กที่ประสบความสำเร็จในการเรียน การอ่านหนังสือ การสะกดคำ หรือ การคำนวณเลขนั้น เป็นเด็กที่มี working memory สูง ความจำระยะยาว (Long-term memory) เป็นหน่วยความจำที่เปรียบเสมือนคลังข้อมูลที่เราจะสามารถดึงมาใช้ได้ในอนาคต สามารถเก็บข้อมูลได้ไม่จำกัด เป็นระยะเวลานาน ความจำชนิดนี้สามารถแบ่งแยกย่อยได้อีกคือ ความจำที่เรียกคืนโดยใช้ความคิดระดับสูง )Explicit Memory) ซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์และความเข้าใจของบุคคลนั้น ๆ เช่น การจำได้ว่าใครมางานวันเกิดของเราบ้างเมื่อเดือนที่แล้ว หรือ จำชื่อผลไม้เขตร้อนทุกชนิด เป็นต้น ความจำอีกชนิดคือ ความจำที่สามารถเรียกคืนกลับโดยอัตโนมัติ (Implicit Memory) ซึ่งได้มาจากการฝึกทำซ้ำ ๆ เช่น การปั่นจักรยาน, การขับรถ เป็นต้น ความจำระยะสั้น (Short-term memory) และ Working memory คือหน่วยความจำที่สามารถจัดเก็บข้อมูลได้เพียงแค่เวลาสั้น ๆ และเก็บข้อมูลได้จำกัด ความแตกต่างระหว่างความจำสองแบบนี้ก็คือ ความจำระยะสั้น อาจจะอธิบายได้ว่าเป็นการจดจำบางอย่างไว้ ณ ชั่วขณะหนึ่งก่อนที่เราจะลืมหรือส่งต่อไปที่ความจำระยะยาว อย่างเช่น การจำหมายเลขโทรศัพท์ให้นานพอที่จะเขียนมันลงไปในกระดาษ เป็นต้น แต่ working memory ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บข้อมูลเพียงอย่างเดียวแต่รวมไปถึงการจัดการข้อมูลอย่างคล่องแคล่วด้วย เช่น การจำหมายเลขโทรศัพท์แล้วต้องท่องหมายเลขเหล่านั้นจากหลังไปหน้าให้ถูกต้อง เป็นต้น อาหารสมอง และสิ่งเร้าต่่างๆ 1. สารอาหารในเลือด 2. แสงที่ผ่านเข้าร่างกายทางดวงตา 3. กลิ่นที่ผ่านเข้าร่างกายทางจมูก 4. เสียงที่ผ่านเข้าร่างกายทางหู 5. รสที่ผ่านเข้าร่างกายทางลิ้น 6. อากาศ และสสารที่ผ่านเข้าร่างกายทางผิวหนัง 7. การสัมผัสที่ทำให้เกิดการรับรู้ความรู้สึกทางผิวสัมผัส กระบวนการทำงานของสมองส่วนหน้า ทำหน้าที่จำข้อมูล จัดระบบแล้วเก็บรักษาข้อมูลไว้ในคลังสมอง เมื่อถึงเวลาที่เราต้องการใช้งาน สามารถนำข้อมูลในสมองออกมาใช้งานได้อัตโนมัติ เป็นความจำที่เรียกข้อมูลกลับมาเพื่อใช้อย่างถูกที่ถูกเวลา ซึ่งแตกต่างจากการจำแบบท่องจำ เพราะการท่องจำเป็นการจดจำข้อมูลที่ไม่เคลื่อนไหวแล้ว เช่น การจดจำชื่อบุคคลในประวัติศาสตร์ ท่องจำชื่อเมือง ท่องจำเหตุการณ์สำคัญ เพื่อทำข้อสอบ หรือเพื่อบันทึกหลักฐานข้อมูลที่เป็นเนื้อหาวิชาการ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้จริง หรือนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ทำให้ข้อมูลเหล่านี้เมื่อไม่ท่องจำ ก็จะค่อย ๆ เลือนหายไป แต่ Working Memory เป็นการจดจำข้อมูลที่เคลื่อนไหว และนำมาเชื่อมโยงเพื่อใช้ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เช่น การอ่าน การเขียนคำศัพท์ หรือการแก้โจทย์คณิตศาสตร์ ถ้ากระบวนการทำงาน Working Memory ไม่ดี ก็จะไม่สามารถวางแผน จัดระบบข้อมูล เรียบเรียงเรื่องราวออกมาเป็นเรื่องราว หรือคิดประมวลผลคำตอบที่ถูกต้องได้ เด็กที่มี Working Memory ไม่แข็งแรงนั้นจะเรียนรู้ได้ช้ากว่าเพื่อน ขี้ลืม หรือต้องฟังโจทย์ซ้ำหลายครั้ง จึงจะสามารถประมวลผล จนเกิดความเข้าใจได้ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าพวกเขาเหล่านั้น "ขี้เกียจ" หรือ "ไม่ตั้งใจเรียน" ดังนั้นการฝึก Working Memory จึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็ก ๆ ตั้งแต่วัยอนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัย ![]() ลักษณะของ Working Memory สามารถจดจำข้อมูลได้เพียง 5-9 หน่วย และมักถูกรบกวนได้ง่าย นอกเหนือจากการเก็บข้อมูลแล้ว ยังสามารถจัดการและแปลงข้อมูลได้ เนื้อหาของข้อมูลจะถูกปรับปรุงอย่างถาวร สั่งการโดยสมองส่วน Dorsolateral frontal cortex หรือสมองส่วนหน้าบริเวณหน้าผาก ตัวอย่างของความจำเพื่อใช้ปฎิบัติงาน (Working Memory) ด้วยประสิทธิภาพของทักษะ Working Memory ทำให้เราสามารถที่จะสามารถทำสองสิ่งไปพร้อมๆกันได้ เช่น การจดจำ และตอบโต้ต่อข้อมูลที่พูดในระหว่างการสนทนาเชื่อมโยงแนวคิดใหม่ และแนวคิดเดิม ทำให้เราเกิดการเรียนรู้และเข้าใจเก็บรักษาข้อมูลไว้ในขณะที่เราใส่ใจกับสิ่งอื่นอยู่ เช่น เราสามารถจำ และจัดเตรียมส่วนผสมของอาหารได้ ในขณะที่คุยโทรศัพท์อยู่ ในชีวิตประจำวัน เราใช้ความจำที่ใช้ในการปฏิบัติงาน หรือ Working Memory ในการทำงานจำนวนมาก เช่น การจำหมายเลขโทรศัพท์ ก่อนที่จะจดลงในกระดาษ หรือเมื่อเรากำลังวุ่นอยู่กับบทสนทนา เราต้องจดจำสิ่งที่เราพูด ประมวลผลคำพูด และตอบสนอง หรือโต้ตอบออกไปเป็นคำพูด หรือการจดบันทึกที่โรงเรียน เราจำเป็นต้องจดจำสิ่งที่ครูพูด ประมวลผล และบันทึกเป็นภาษาของเราเอง หรือแม้กระทั่งเวลาซื้อของ เรามักจะคำนวณราคาสินค้าในใจ เพื่อดูว่าเรามีเงินเพียงพอที่จะจ่ายหรือไม่ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นทักษะที่อาศัยความสามารถของ Working Memory ลูกของคุณอาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วได้อย่างละเอียดและแม่นยำแต่กลับจำคำศัพท์ที่คุณครูสอนไปเมื่อวานไม่ได้เลย ความผิดปกติที่เกิดขึ้น หาก Working Memory เปลี่ยนแปลงไป Working Memory เป็นส่วนที่สำคัญที่ใช้ในการตัดสินใจ และการทำงานของสมองด้านการจัดการ ดังนั้น ผู้ที่บกพร่องทักษะด้านนี้จึงมักจะมีภาวะของ Dysexecutive Syndromes หรือภาวะบกพร่องในการบริหารจัดการ มีความผิดปกติทางการเรียนรู้มากมาย เช่น สมาธิสั้น (ADHD) มีความบกพร่องในการอ่านเขียน (Dyslexia) หรือปัญหาด้านอื่นๆ เช่น โรค Schizophrenia ซึ่งเป็นกลุ่มอาการของโรคจิตเภท, ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) เป็นต้น เราสามารถพัฒนาทักษะ Working Memory (ความจำเพื่อใช้ปฎิบัติงาน) ได้ เราสามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านนี้ให้ดีได้ด้วยโปรแกรมฝึกสมอง คำแนะนำเกี่ยวกับความจำ - ทำความเข้าใจว่าความจำแต่ละประเภทนั้นแตกต่างกัน - สะกดคำเก่งช่วยให้จำเก่ง การจำตัวสะกดของคำคือชนิดหนึ่งของความจำโดยความหมาย (semantic memory) หรือความรู้ (knowledge) มีประโยชน์ในการสร้างความจำส่วนที่เกี่ยวกับเสียง (phonological memory) และส่งเสริมพื้นฐานการสะกดคำในอนาคต - นอนหลับให้เพียงพอ - ให้ working memory ได้ทำงานบ่อย ๆ - หากลยุทธ์การจำที่เหมาะกับลูกของคุณ เทคนิคการจำสิ่งต่าง ๆ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่ช่วยให้เราจำสิ่งนั้นได้ดีขึ้น ![]() ![]() หน้าที่และส่วนประกอบสมอง 3 ส่วน ได้แก่ 1. สมองส่วนหน้า (Forebrain) ในส่วนของสมองส่วนหน้าจะทำหน้าที่ควบคุม ความคิด ความจำ หรือความรู้สึกต่าง ๆ ซึ่งเป็นอวัยวะที่อยู่ด้านบนสุด และยังเป็นส่วนหลักของสมอง ช่วยในการเจริญเติบโตของระบบประสาทกลาง 2. สมองส่วนกลาง (Midbrain) จะอยู่ถัดจากสมองส่วนหน้า ทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อระหว่างสมองส่วนหน้ากับสมองส่วนท้าย รวมถึงการควบคุมการเคลื่อนไหวของลูกตาและควบคุมการปิดเปิดของรูม่านตา 3. สมองส่วนท้าย (Hindbrain) เป็นสมองส่วนท้ายสุดที่ต่อกับไขสันหลัง มีหน้าที่สำคัญในการควบคุมการทำงานของระบบประสาทต่าง ๆ เช่น การเต้นของหัวใจ การหมุนเวียนเลือดและความดันเลือด การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ หรือการหายใจ และยังเป็นทางผ่านของกระแสประสาทระหว่างสมองกับไขสันหลัง ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการควบคุมการทำงานของจิตใจ ส่วนประกอบและหน้าที่ของสมองส่วนหน้ายังสามารถแบ่งออกได้อีกดังนี้ 1. ทาลามัส (Thalamus) เป็นศูนย์รวมของกระแสที่มีการผ่านเข้าออก ทำหน้าที่แยกกระแสประสาทไปยังสมอง หรือเป็นแหล่งเชื่อมโยงกระแสประสาทเพื่อส่งไปจุดต่าง ๆ ในสมอง สามารถรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดและแสดงพฤติกรรมออกมา ซึ่งทาลามัสอยู่ในตำแหน่งที่เรียกว่าใจกลางสมองระหว่างเปลือกสมองใหญ่กับสมองส่วนกลาง 2. ไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) เป็นส่วนที่มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เช่น การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ระดับน้ำตาลกรือเกลือในเลือดลดลง ความหิว การนอนหลับ หรือการมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น ซึ่งเจ้าตัวไฮโพทาลามัสจะส่งสัญญาณไปยังสมองหรือร่างกาย เพื่อทำหน้าที่ควบคุมในส่วนประสาทนั้น ๆ 3. ซีรีบรัม (Cerebrum) จะมีขนาดใหญ่ที่สุดในส่วนของสมองทั้งหมด ซึ่งซีรีบรัมจะมีรอยหยักเป็นจำนวนมาก และทำหน้าที่เกี่ยวกับการเรียนรู้เพื่อเพิ่มความสามารถต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางในการทำงานของระบบกล้ามเนื้อ การพูด การดมกลิ่น การชิมรส การมองเห็น การได้ยิน การสัมผัส เป็นต้น 4. ออลเฟกทอรีบัลบ์ (olfactory bulb) หรือศูนย์รวมประสาทการรับกลิ่น โดยสมองส่วนนี้จะอยู่ด้านหน้าสุด ซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ส่งต่อสัญญาณไปยังสมองในส่วนของซีรีบรัมให้ทำการแปลข้อมูล เช่น การดมกลิ่นว่าเป็นกลิ่นอะไร มีความหอมหรือมีกลิ่นเหม็น การฝึกสมองส่วนหน้าเป็นการฝึกทักษะที่สำคัญที่สุด เช่น การฝึกสมาธิ ฝึกการเรียนรู้และแก้ปัญหา รวมถึงการควบคุมพฤติกรรมทางด้านอารมณ์ และการแสดงออกทางอารมณ์ ดังนั้นสมองส่วนหน้าจึงมีประโยชน์ต่อมนุษย์ทุกคนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น - ช่วยในการมีสมาธิเพิ่มมากขึ้น - ช่วยในการคิดวางแผนหรือการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ - สามารถการคาดการณ์เหตุการณ์ต่าง ๆ หรือการคำนึงถึงผลที่จะตามมา - เกิดความยับยั้งชั่งใจ ในสิ่งที่ไม่ดีหรือไม่ควรทำ จึงสามารถช่วยให้ทำการควบคุมตนเองได้ - มีความรับผิดชอบในสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้เป็นอย่างดี ![]() เส้นประสาทสมอง 12 คู่ มีอะไรบ้าง 1. เส้นประสาทออลแฟกทอรี (olfactory nerve) ทำหน้าที่รับความรู้สึกเกี่ยวกับกลิ่นจากเยื่อจมูก 2. เส้นประสาทออพติก (optic nerve) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็นของลูกตา 3. เส้นประสาทออคิวโลมอเตอร์ (oculomotor nerve) จะสั่งการจากสมองส่วนกลางไปยังกล้ามเนื้อลูกตา 4 มัด ส่งผลให้ลูกตาสามารถเคลื่อนไหว และกะพริบตาได้ 4. เส้นประสาททรอเคลีย (trochlea nerve) จะทำการสั่งการไปยังกล้ามเนื้อลูกตาทำให้ลูกตามองลงและมองไปทางหางตา 5. เส้นประสาทไตรเจอมินัล (trigerminal nerve) ทำหน้าที่รับความรู้สึกบนใบหน้า โดยควบคุมกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการเคี้ยวอาหาร 6. เส้นประสทแอบดิวเซนส์ (abducens nerve) จะทำการสั่งการออกจากพอนส์ไปยังกล้ามเนื้อลูกตาให้ชำเลืองได้ 7. เส้นประสารทเฟเชียล (facial nerve) จะถูกสั่งการไปยังกล้ามเนื้อใบหน้า ทำให้บนใบหน้าของคนเรามีการแสดงออกทางสีหน้าได้อย่างชัดเจน 8. เส้นประสาทออดิทอรี (auditoty nerve) รับรู้การได้ยิน และควบคุมความรู้สึกที่เกี่ยวกับการทรงตัว 9. เส้นประสาทกลอสโซฟารินเจียล (glossopharyngeal nerve) ทำหน้าที่รับความรู้สึกจากช่องคอ และรับรสชาติจากโคนลิ้น เช่น ความรู้สึกร้อนหรือเย็น และมีหน้าที่สั่งการจากสมองไปยังกล้ามเนื้อบริเวณคอหอยที่ ต่อมน้ำลาย หรือการกลืนอาหารผ่านช่องคอ 10. เส้นประสาทเวกัส (vegus nerve) ทำหน้าที่รับความรู้สึกจากลำคอ กล่องเสียง ช่องอก ช่องท้อง 11. เส้นประสาทแอกเซสซอรี (accessory nerve) ทำหน้าที่ในการเอียงคอและยกไหล่ 12. เส้นประสาทไฮโพกลอสวัล (hypoglossal nerve) ทำหน้าที่ในการเคลื่อนไหวของลิ้น ซึ่งเกิดจากการสั่งการไปยังกล้ามเนื้อลิ้น |